ในช่วงนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ยังอยู่ในช่วงการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาฯ จึงได้แนะนำแนวทางการปฏิบัติตัวในช่วงการถือศีลอดของพี่น้องมุสลิม เพื่อสร้างภูมิต้านทานโรคตลอดเดือนรอมฎอน
มาถือศีลอดเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานโรคกันเถอะ
เวลานี้มาตรการสร้างระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) กำลังเข้มข้นโดยให้แต่ละคนอยู่ห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 2 เมตร หลายประเทศจัดหนักกว่านี้โดยห้ามการออกนอกบ้านกันไปเลย ทั้งหมดนี้เพื่อลดอัตราเร็วของการติดเชื้อของโรคโควิด-19 ลงให้ได้ เพราะคนนี่เองที่เป็นพาหะพาเชื้อแพร่กระจายออกไป เมื่อให้คนหยุดเชื้อย่อมแพร่ต่อไม่ได้ คิดกันง่ายๆ อย่างนั้น โดยวงการแพทย์ยอมรับว่านี่คือวิธีที่ได้ผลที่สุด ประสิทธิภาพรองลงมาคือการป้องกันพื้นที่ T-zone บริเวณใบหน้า ได้แก่ ดวงตาสองข้าง จมูกและปากซึ่งเป็นพื้นที่รับเชื้อด้วยการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง อีกวิธีหนึ่งที่สำคัญมากคือการล้างมืออย่างถูกต้องให้บ่อย
นอกจากการป้องกันตนเองทั้งสร้างระยะห่างจากคนอื่นก็แล้ว สวมหน้ากากอนามัยก็แล้ว ล้างมือก็แล้ว แต่โรคก็ยังแพร่อย่างหนักแทบไม่ลดราวาศอกลงเลยอย่างในสหรัฐอเมริกา อิตาลี หรือแม้กระทั่งมาเลเซีย วงการแพทย์พบว่าจุดอ่อนอยู่ที่คนนั่นเอง ปัญหาในสหรัฐอเมริกาหรือแม้กระทั่งมาเลเซียคือคนอ้วนมีมากเกินไป ส่วนในอิตาลีเป็นปัญหาของผู้สูงอายุและโรคประจำตัวไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง อินสุลินสูง สิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยร่วมของทั้งสามสังคมคือภูมิคุ้มกันโรคที่ต่ำลงเมื่ออ้วน หรือเมื่อเข้าวัยชรา หรือเมื่อมีโรคแทรกซ้อน การเพิ่มภูมิต้านทานโรคจึงเป็นทางเลือกที่ควรต้องส่งเสริมในช่วงเวลานี้
การถือศีลอดหรืออดอาหารมีอยู่หลายวิธี จะขอนำเสนอการถือศีลอดแบบอิสลามให้กับพวกเรา ส่วนใครจะใช้วิธีการอดอาหารช่วงสั้นๆ แบบ IF หรือ Intermittent Fasting ก็ไม่เป็นปัญหา วิธีการถือศีลอดแบบอิสลามโดยรับประทานอาหารมื้อแรกก่อนแสงตะวันขึ้นซึ่งคือเวลา 5.00 น. สำหรับกรุงเทพฯ อดอาหารอดน้ำทุกอย่างไปจนถึงเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าซึ่งเป็นเวลา 18.30 น.โดยประมาณ รับประทานอีกหนึ่งมื้อโดยไม่มีมื้ออื่นหลังจากนั้น นอกจากอดอาหารแล้วยังควรลดอาหารต่อวันลงให้ได้พร้อมกันไปด้วย
การอดอาหารเช่นนี้มีงานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่าช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย งานการศึกษาของ Cignarella F. และคณะตีพิมพ์ในวารสาร Cell Metabolism ค.ศ. 2018 พบว่าการอดอาหารลักษณะนี้ช่วยทำให้สมดุลภูมิคุ้มกันในร่างกายดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแบคทีเรียในทางเดินอาหารปรับตัวสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้นส่งอานิสงค์ให้กับมนุษย์ที่เป็นที่อาศัยของแบคทีเรียเหล่านี้ Secor SM และ Carey HV เขียนรายงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Compr Physiol ค.ศ. 2016 ว่าการอดอาหารกระตุ้นให้ร่างกายปรับกลไกเพื่อความอยู่รอด โดยหนึ่งในนั้นคือการเพิ่มภูมิต้านทานโรค ดังนั้นในช่วงที่ต้องกักกันตนเองไว้กับบ้านจึงขอแนะนำให้ถือศีลอดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการถือศีลอดในเดือนชะอฺบานหรือเดือน 8 ตามปฏิทินอิสลามซึ่งก็คือช่วงเวลามี่ผ่านมา
นอกเหนือจากนี้ Social Distancing ถือเป็นโอกาสดีสำหรับการละหมาดเพื่อสุขภาพ ช่วงที่ทุกคนถูกกักตัวอยู่แต่ในบ้าน ไปไหนมาไหนไม่ได้ตามมาตรการสร้างระยะห่างทางสังคม เสียงหนึ่งที่บ่นกันมากคือไม่รู้จะออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิต้านทานโรคกันอย่างไร ในที่นี้ขอเสนอเฉพาะมุสลิมคือ การละหมาด ที่มีข้อมูลยืนยันว่าช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคได้ โดยละหมาดในที่นี้เป็นการละหมาดตามแนวทางของท่านศาสดา มุฮัมมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮวะซัลลัม ลองมาดูกัน
ดูงานวิจัยกันก่อน ดร.โจลี บุคสแปน (Jolie Bookspan) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การออกกำลังกายชาวอเมริกัน เขียนในวารสาร Healthline.com เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 ไว้น่าสนใจว่าคนอเมริกันจำนวนไม่น้อยเมื่อนั่งบนพื้นไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้แม้ใช้มือช่วยพยุงก็ตามแสดงถึงความอ่อนแอของกล้ามเนื้อขาและข้อเข่า แก้ไขได้โดยฝึกลุกขึ้นยืนจากท่านั่งบนพื้นทุกวัน เธอพบว่าในอิสลามมีการฝึกปฏิบัติเพื่อลุกขึ้นยืนผ่านการละหมาดทุกวันอย่างน้อยวันละ 5 ครั้ง การละหมาดจึงนับเป็นการออกกำลังกายทางเลือกที่สมควรแนะนำ
ดร.ฆาซัล กัมรัน (Ghazal Kamran) นักกายภาพบำบัดแห่งโรงพยาบาล Al Ain สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รายงานไว้ในวารสาร J Nov Physiother Rehabil ฉบับ 2 หน้าที่ 43 – 53 ค.ศ. 2018 ว่าการละหมาดในอิสลามมี 5 เวลา แต่ละเวลาประกอบด้วย 2-4 รอกะอัต (Rak’ah) หรือรอบโดยใช้เวลารอบละ 3-12 นาที ในแต่ละรอกะอัตประกอบด้วย 7-9 ท่า มีตั้งแต่ยืนตรง ยกมือเสมอหู (Takbir) ยืนกอดอก (Qayyam) โค้ง (Ruku) ยืดตัวตรง หมอบกราบ (Sujud) นั่งทับส้นเท้า (Tashahud) ลุกขึ้นยืนจากท่านั่งรวม 17 รอกะอัตต่อวัน นอกจากนี้ศาสดานบีมูฮำมัด (ซ.ล.) ยังเพิ่มการละหมาดเป็น 29-50 รอกะอัตต่อวัน
การละหมาดภาคบังคับ (ฟัรฎู) มี 17 รอกะอัตต่อวัน คือ 2 ก่อนเช้า (ซุบฮิ) 4 เที่ยง (ดุฮฺริ) 4 บ่าย (อัสริ) 3 เย็น (มัฆริบ) และ 4 ค่ำ (อิชา) ท่านศาสดายังละหมาดที่ไม่บังคับอันเกี่ยวเนื่องกับการละหมาดบังคับ (สุนนะฮฺรอวาติบ) อีก 12 รอกะอัต คือ 2 ก่อนซุบฮิ 4 ก่อนดุฮฺริ 2 หลังดุฮฺริ 2 หลังมัฆริบ 2 หลังอิชา รวมเป็น 29 รอกะอัต ละหมาดไม่บังคับแบบสมัครใจ (สุนนะฮฺนัฟลฺ) อีก 10 รอกะอัต คือ 4 หลังดุฮฺริ 2 ก่อนอัสริ 2 ก่อนมัฆริบ 2 ก่อนอิชารวมเป็น 39 รอกะอัตต่อวัน ในหลายกรณีท่านยังละหมาดไม่บังคับแบบสมัครใจชนิดนอกเวลาอีกคือ 2 ยามสาย (ดุฮา) 8 ยามค่ำคืน (กิยามุลลัยลฺ) และ 1 ละหมาดคี่ (วิตรฺ) รวมทั้งสิ้น 50 รอกะอัต ดร.จาเซ็ม รอมฎอน อัลคันดารี (Jasem Ramadan Alkandari) มหาวิทยาลัยคูเวต พบว่าการละหมาดใช้พลังงานโดยเฉลี่ย 4.71 กิโลแคลอรีต่อรอกะอัต ละหมาด 29-50 รอกะอัตใช้พลังงาน 136.6-235.5 กิโลแคลอรีเท่ากับการออกกำลังกายแบบแอโรบิกขนาดกลางนาน 17-30 นาที การละหมาดให้ข้อดีโดยกระจายการใช้พลังงานไปตลอดวัน ขณะที่การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเน้นไปที่การทำงานของปอดและหัวใจ การละหมาดใช้พลังงานทั้งร่างกายร่วมกับการยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น แถมยังให้ประโยชน์ทางด้านจิตใจจากการตั้งสมาธิเพิ่มเติมเข้าไปอีก นี่คือประโยชน์เต็มๆของการละหมาด ลองฝึกกันดู ได้ทำแล้วจะติดใจจนต้องทำกันตลอด