การปลอมปนอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลอมปนเนื้อสัตว์ราคาถูกในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่มีราคาแพงเพื่อต้องการลดต้นทุนและหวังผลกำไรทางธุรกิจยังคงพบอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน [1] ประกอบกับความซับซ้อนของกระบวนการผลิตอาหารทางอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เนื้อสัตว์ถูกแปรรูปจนมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจนไม่สามารถระบุชนิดของเนื้อสัตว์นั้นด้วยลักษณะทางกายภาพได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การปลอมปนของเนื้อสัตว์และผลิตจากเนื้อสัตว์ทำได้ง่ายขึ้นและยากต่อการตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ [2] ปัญหาการปลอมปนเนื้อสัตว์ดังกล่าวพบในหลายประเทศ เช่นมาเลเซียพบเนื้อวัวถูกปลอมด้วยเนื้อจิงโจ้ อินโดนีเซียพบการปลอมปนเนื้อหนูในลูกชิ้นเนื้อวัว จีนพบการใช้เนื้อหนูในผลิตภัณฑ์จากเนื้อแกะ อังกฤษพบการปนเปื้อนเนื้อม้าในเบอร์เกอร์เนื้อวัว และล่าสุดประเทศไทยพบเนื้อวัวปลอมจากการย้อมสีเนื้อสุกรด้วยเลือดวัวแล้วนำมาขายโดยระบุว่าเป็นเนื้อวัว ซึ่งปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ไม่รับประทานเนื้อสุกรและภาพลักษณ์ขององค์กรด้านการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ดังนั้นการรับรองความถูกต้องของเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตรงตามที่ระบุไว้บนฉลากสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับศาสนาและความเชื่อเนื่องจากในบางศาสนาไม่รับประทานเนื้อสัตว์บางชนิดโดยเฉพาะมุสลิมนั้นอาหารที่จะบริโภคนั้นจะต้องปราศจากการปนเปื้อนจากเนื้อสัตว์ต้องห้ามตามมาตรฐานฮาลาล [3]
ปัจจุบันมีเทคนิคที่นำมาประยุกต์ใช้ในการตรวจวัดการปนเปื้อนหรือบ่งชี้ชนิดของสัตว์ในอาหาร [4] เช่น Spectroscopy ,Near-infrared spectroscopy (NIRS), Fourier transform infrared spectroscopy (FT-IR), Chromatography , Immunoassays , Polymerase chain reaction (PCR), Real-time PCR , Digital PCR , High resolution melting analysis (HRMA) และ Biosensors ซึ่งเทคนิคที่ได้รับความนิยมคือเทคนิคทางดีเอ็นเอ เนื่องจากดีเอ็นเอมีความคงทนต่อความร้อนมากและตรวจวัดได้ทั้งในเนื้อดิบหรือเนื้อที่ผ่านความร้อน อีกทั้งมีความไวและมีความจำเพาะสูง[5] อย่างไรก็ตามงานวิจัยส่วนใหญ่เน้นการตรวจสัตว์ได้ทีละเป้าหมาย ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาเทคนิคที่สามารถตรวจพร้อมกันได้ทีละหลายสปีชีส์ เพื่อความรวดเร็วและลดต้นทุน สำหรับประเทศไทยโดยศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล ได้พัฒนาเทคนิค multiplex HRMA ซึ่งเป็นเทคนิคทางดีเอ็นเอที่มีความไวสูงสามารถบ่งชี้ชนิดสัตว์ได้พร้อมกันถึง 6 ชนิดภายในการตรวจครั้งเดียวได้แก่ สุกร สุนัข แมว หนู ลิง และ ลา โดยให้ผลการทดสอบที่แม่นยำ 100% กับตัวอย่างที่ใช้ทดสอบ และปัจจุบันทางผู้วิจัยได้ต่อยอดเทคโนโลยี โดยได้รับงบประมาณวิจัยสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ร่วมกับบริษัท ทาเลโนเมะ ดีเอ็นเอ โปรเฟสเชอนัล จำกัด ได้พัฒนาเทคนิคที่ง่ายขึ้น รวดเร็วและลดต้นทุน สามารถคัดกรองตัวอย่างเบื้องต้นเองให้แก่ผู้ประกอบการ หน่วยงานภาคศาสนา ก่อนที่จะส่งไปตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฎิบัติการ โดยพัฒนาเทคนิค multiplex PCR ร่วมกับ DNA strip ในการตรวจสัตว์ต้องห้ามในอาหารฮาลาลพร้อมกัน 5 ชนิด ได้แก่ สุกร สุนัข แมว หนูและลิง สามารถตรวจสอบผลวิเคราะห์ได้ด้วยตาเปล่า ใช้เวลา 15 นาที และใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 90 นาที เทคนิคดังกล่าวได้รับการทวนสอบโดยนำตัวอย่างอาหารเชิงพาณิชย์จำนวน 375 ตัวอย่างไปประยุกต์ตรวจสอบพบว่าให้ผลที่สอดคล้องกับเทคนิคมาตรฐานของห้องปฎิบัติการ (gold standard)
ในอนาคตอันใกล้นี้ทางศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล นำทีมโดย รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ศ.ดร.สุวิมล กีรติพิบูลและคณะผู้วิจัย หวังจะผลักดันให้นวัตกรรมนี้เข้าถึงผู้ใช้ได้ง่ายด้วยการต่อยอดเป็นชุด Test kits แบบครบวงจรของการตรวจวัด ตั้งแต่ขั้นตอนการสกัดดีเอ็นเอ (Extraction) การเพิ่มจำนวนดีเอ็นเอเป้าหมาย (Amplification) จนถึงตรวจสอบผลวิเคราะห์ (Detection) ซึ่งต้นทุนของ DNA strip อยู่ที่ประมาณ 300 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ถูกกว่าการตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ถึง 10 เท่า ซึ่งเทคนิคที่พัฒนาขึ้นนี้ สามารถใช้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับควบคุมและประกันคุณภาพอาหารฮาลาลได้ ผู้ผลิตและผู้บริโภคอาหารฮาลาลสามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการปนเปื้อนของสัตว์ที่ไม่ฮาลาลในวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อาหาร อีกทั้งนวัตกรรมนี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับขั้นตอนการคัดกรองตัวอย่างเพื่อสนับสนุนการรับรองฮาลาล โดยเฉพาะในประเทศผู้ส่งออกอาหารอย่างประเทศไทย